Friday Mar 29, 2024

พฤติกรรมที่ทำให้ผลการเรียนออกมาแย่

เชื่อว่าคงไม่มีนักเรียนคนไหนที่ต้องการอยากจะให้ผลการเรียนของตัวเองออกมาดูแย่ ทุกคนก็คงอยากจะเรียนเก่งๆ เหมือนกันทั้งนั้น สิ่งที่จะทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างสองอย่างนี้ก็คือ วิธีการในการเรียนนั่นเอง คนเรียนเก่งย่อมทำอะไรไม่เหมือนคนที่ขี้เกียจเรียนแน่นอน จึงทำให้ผลการเรียนแตกต่างกันมาก ดังนั้นเรามาดูกันว่าพฤติกรรมแบบไหนบ้าง ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดผลการเรียนที่ไม่ดี และเราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร ถ้าหากว่าปล่อยพฤติกรรมเหล่านี้เอาไว้นานเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ผลการเรียนแย่ลงไปกว่าเก่าอีก สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงก็คือ 1. เรียนด้วยการท่องอย่างเดียว การเรียนหนังสือด้วยการอาศัยการท่องจำอย่างเดียว เป็นวิธีการเรียนที่ไม่มีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะเป็นวิชาที่ต้องอาศัยการจำก็ตาม เพราะการอ่านแบบนี้ไม่นานก็จะลืม วิธีที่จะช่วยให้จำได้ยาวนานโดยที่ไม่ลืมก็คือ การทำความเข้าใจ และเขียนสรุปในแบบที่เราเข้าใจออกมา นั่นจะทำให้จำได้แม่นยิ่งขึ้น 2. อ่านแบบผ่าน การอ่านหนังสือแบบผ่านๆ คือไม่ได้ทำความเข้ารใจเกี่ยวกับเรื่องไหนเป็นพิเศษ การอ่านหนังสือแบบนี้เป็นการอ่านที่เสียเวลาเปล่า เพราะไม่มีทางที่จะเข้าใจแน่นอน ถ้าหากเป็นวิชาที่มีการคำนวณด้วย ยิ่งแล้วใหญ่เลย เพราะการอ่านเป็นแค่เพียงทฤษฎีเท่านั้น ถ้าหากไม่ลองทำโจทย์ดู เวลาที่ทำข้อสอบก็ย่อมจะเกิดปัญหาตามมาแน่นอน 3. อาศัยลอกเพื่อนอย่างเดียว เวลาที่มีการบ้านมาแล้วไม่รู้จักทำด้วยตัวเอง พอทำข้อสอบจริงๆ คนที่ชอบลอกเพื่อนอย่างเดียวก็มักจะทำข้อสอบไม่ได้ เพราะไม่เคยฝึกฝนการทำโจทย์ด้วยการทำการบ้านมาก่อน ดังนั้นหากมีการบ้านอะไรมาให้ทำ ควรจะฝึกทำด้วยตัวเอง หรือถ้าไม่เข้าใจในส่วนไหน ก็สามารถหาคำตอบเพิ่มเติมในอินเตอร์เน็ตได้ มีเนื้อหาทุกอย่างบนโลกอยู่ในนั้นแล้ว ทั้งเว็บของไทยและต่างประเทศ และการหาคำตอบด้วยตัวเอง จะยิ่งเป็นการเพิ่มความเข้าใจให้เรามากขึ้นไปอีก 4. จดตามอาจารย์อย่างเดียว การจดตามอาจารย์ เมื่ออาจารย์สอนหน้ากระดานเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องหมายถึงว่าเราเข้าใจเนื้อหานั้นด้วย หากจดไปทั้งหมด แต่ว่าไม่เข้าใจเนื้อหาอะไรเหล่านั้นเลย […]

ทำไมถึงเรียนไม่รู้เรื่องสักที เป็นเพราะอะไร

ปัญหาของการเรียนแล้วไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจในเนื้อที่เรียน เป็นปัญหาที่ผู้เรียนหลายคนเจออยู่ ส่วนใหญ่ก็มาจากวิธีการเรียนของแต่ละคนนั่นเอง และตัวผู้ส่วนนั้นมีส่วนน้อยมาก ถ้าหากเปรียบเทียบวิธีการเรียนของเด็กที่เรียนเก่งกับเด็กที่เรียนอ่อน จะรู้ว่าทั้งเด็กทั้งสองประเภทนี้มีวิธีการเรียนที่แตกต่างกัน สำหรับนักเรียนคนไหนที่เจอกับปัญหาเหล่านี้อยู่ ลองมาดูว่าวิธีการเรียนที่เราใช้อยู่นั้นถูกต้องหรือไม่ และเราควรจะเปลี่ยนวิธีการเรียนแบบไหน ถึงจะเข้าใจเนื้อหาต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ลองมาดูกันว่าปัญหาเหล่านี้เกิดจากเรื่องอะไรบ้าง 1. ไม่เข้าใจภาพรวมของเนื้อหา การเข้าใจภาพรวมของเนื้อหาจะต้องดูองค์ประกอบหลายๆ อย่างรวมกัน เช่นวิชาที่ต้องใช้สูตรในการคำนวณ ขั้นแรกเราก็ต้องเข้าใจที่มาของสูตร เข้าใจตัวแปรแต่ละตัวของสูตรก่อนว่าหมายความว่าอย่างไร ไม่เช่นนั้นเวลาใช้งานจริงก็จะงงได้ ยิ่งถ้าหากเจอสูตรยากๆ ที่ต้องอาศัยการประยุกต์ด้วย ก็ยิ่งจะงงเข้าไปใหญ่ ดังนั้นก่อนที่จะเริ่มเรียนวิชาอะไรก็ตาม เราต้องหาคีย์หลักของวิชานั้นให้เจอเสียก่อน ไม่งั้นจะเรียนได้ไม่รู้เรื่อง ถ้าเป็นวิชาจำก็ไม่ต้องใช้อะไรมาก เพียงแค่จำให้ได้และเข้าใจความหมายของคำศศัพท์แต่ละอย่าง เท่านั้นก็พอแล้ว อย่างเช่น วิชาสังคม วิชาภาษาอังกฤษ เป็นต้น 2. ผู้สอน สอนไม่เข้าใจ วิชาบางวิชาจะเข้าใจได้นั้น ต้องมีการทดลองเข้ามาเกี่ยวกับด้วย อย่างเช่นวิชาวิทยาศาสตร์ หากปล่อยให้ผู้เรียนเรียนด้วยการจำเพียงอย่างเดียว บอกเลยว่าเป็นไปได้ยากที่ผู้เรียนจะเข้าใจได้ เพราะมองไม่เห็นภาพองค์ประกอบต่างๆ ถ้าหากมีเปิดให้เด็กได้ทดลองด้วยตัวเอง ก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้การอธิบายอะไรมาก เพราะเด็กจะหาคำตอบจากการทดลองเองได้ 3. ไม่สนใจเรียน เวลาเรียนไม่มีสมาธิในการเรียน อาจจะเป็นเพราะมีสิ่งเร้าเยอะ เช่น อยากจะเล่นเกม อยากจะเล่นโซเชียลบ้าง ทำให้เวลาเรียนแล้วไม่เข้าใจ ดังนั้นผู้เรียนจะต้องตัดเรื่องเหล่านี้ออกไปจากหัวให้ได้เสีย […]

การเรียนการสอนในยุคดิจิตอล ควรเป็นแบบไหน

ต้องบอกว่ายุคนี้เป็นยุคที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามาจนถึงขีดสุด การใช้ชีวิตประจำวันของเราหลายๆ อย่างต้องพึ่งเทคโนโลยีทั้งสิ้น และเทคโนโลยีก็เข้าไปอยู่กับทุกองค์กรทุกกิจกรรม แม้แต่การเรียนการสอนเอง ก็ต้องมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยแล้ว หากไปใช้วิธีการสอนเหมือนกับยุคก่อน การเรียนการสอนก็คงต้องถอยหลังลงคลอง เด็กไม่มีวันได้อะไรจากการเรียนแน่นอน เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน การเรียนจึงต้องเปลี่ยนไปด้วย แล้วการเรียนในยุคดิจิตอลที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีอย่างทุกวันนี้ ควรจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหนบ้าง จึงจะทำให้ผู้เรียนได้ประโยชน์สูงสุด 1. เรียนด้วยระบบสองภาษา ยุคนี้ภาษาเดียวอาจจะไม่เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน และในการทำงาน การให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยระบบสองภาษาตั้งแต่อยู่ในชั้นต้น จะช่วยให้เด็กมีพื้นฐานของภาษาที่ดี และเมื่อเรียนในชั้นที่สูงขึ้น ก็จะเข้าใจการเรียนได้ง่ายขึ้น ซึ่งการรอบรู้ในเรื่องของภาษามากกว่า 2 ภาษาขึ้นไป ยังเป็นตัวช่วยในการเบิกทางไปสู่การทำงานที่ดีกว่าเดิมได้ อาจจะได้ไปทำยังต่างประเทศ ซึ่งความก้าวหน้าก็จะมีมากกว่าการทำงานในประเทศอย่างเดียว 2. การเสริมทักษะทางความคิด การเสริมทักษะทางความคิดเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนรู้จักการคิดที่มีประสิทธิภาพในการจัดการปัญหาต่างๆ รู้จักควบคุมอารมณ์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้น เพื่อให้เข้าสู่ป้าหมายที่ต้องการอยากจะก้าวเข้าไป ซึ่งการควบคุมความคิดถือว่าเป็นเรื่องสำคัญในยุคนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะว่าคนเริ่มจะไม่ค่อยเห็นใจ มีน้ำใจกันเท่าไหร่ มักจะนำอารมณ์เข้าหากัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดี 3. ส่งเสริมการคิดให้เป็นระบบ การคิดให้เป็นระบบมีผลอย่างมากในการเรียนและการทำงาน สามารถเอามาใช้งานได้จริง การคิดเป็นระบบก็คือ การตั้งสมมติฐาน การวางแผนที่จะหาคำตอบเหล่านั้นเอาไว้ล่วงหน้าก่อน เหมือนกับทำโปรเจคอะไรสักชิ้น เมื่อได้สมมติฐานแล้วทีนี้ก็เริ่มทำการหาคำตอบด้วยวิธีการต่างๆ จากนั้นก็นำมาสรุปผลมาสมมติฐานที่ตั้งไว้ กับความเป็นจริงตรงกันหรือไม่ ต้องมีการปรับปรุงอย่างไรบ้าง 4. ใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วย การเรียนในยุคนี้จำเป็นต้องเทคโนโลยี โดยเฉพาอินเตอร์เน็ตสำหรับการสืบค้นข้อมูลต่างๆ […]

Back to Top